วันพุธที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ขนมลา ที่นครศรีธรรมราช

ขนมลา ไม่ใช่ลาแล้ว ลาเลย แต่เป็นขนมที่ใช้แทนผ้าแพร ต่างผ้าห่ม ของประเพณีเดือนสิบ เมืองนคร
แต่เดี๋ยวนี้มีขายกันมากที่ วัดพระมหาธาตุ เมืองนคร มีทั้งลากรอบ ลามัน  ลาม้วน แล้วแต่จะเลือก

ในขนมลานั้น มีทั้งลาแป้งข้าวจ้าว ลาแป้งมัน อร่อยกันคนละแบบ แป้งข้าวจ้าว จะกรอบๆนิ่มๆ
ส่วนลาแป้งมันจะ เหนียวๆ หนืดๆ ตามวัสดุที่ใช้ทำ เป็นขนมที่ทำโดยการทอดแต่ใช้น้ำมันน้อยๆ
ลาที่ดังมากในเมืองนคร คือลา ต.หอยราก อ.ปากพนัง  จ.นครศรีธรรมราช เพราะเขาทำกันมานานนม ตั้งแต่โบราณกาลจนปัจจุบัน


ส่วนผสม
แป้งข้าวเจ้า 2 ถ้วยตวง
น้ำตาลทราย ½ ถ้วยตวง
น้ำตาลโตนด ¼ ถ้วยตวง
น้ำ ½ ถ้วยตวง
ไข่ไก่สุก (เอาเฉพาะไข่แดง) 1 ฟอง
น้ำมันพืช ½ ถ้วยตวง

วิธีทำ
1.  ผสมน้ำตาลทราย น้ำตาลโตนด และน้ำ เคี่ยวจนกระทั่งเหนียวข้นเล็กน้อย

2.  นำน้ำตาลที่เคี่ยวข้นแล้วมานวดกับแป้ง นวดจนแป้งเหนียวนิ่มมือ ค่อย ๆ เติมน้ำร้อนทีละน้อยประมาณ 6 ช้อนโต๊ะ เคล้าแป้งต่อจนแป้งเหนียวดีลองใช้มือจุ่มโรยดู เมื่อเห็นว่าเป็นเส้นดีแล้วโรยได้ไม่ขาดสายก็ใช้ได้

3.  ทากระทะด้วยน้ำมันและไข่แดงนิดหน่อย ตั้งไฟพอกระทะร้อนดีแล้วจึงตักแป้งใส่ภาชนะ ซึ่งเจาะรูเล็ก ๆ (ก่อนใส่แป้งให้ทาน้ำมันเล็กน้อยที่ก้นภาชนะ) โรยแป้งลงในกระทะอาจจะโรยเป็นรูปต่าง ๆ ตามใจชอบ เส้นแป้งที่ได้จะมีขนาดเล็กฝอย



ลาเช็ด เป็นลาที่มีเส้นสีขาวละเอียด เครื่องปรุงประกอบด้วยแป้งข้าวจ้าว น้ำตาลทราย และน้ำตาลที่เคี่ยวจนข้น

วิธีทำ


1. นำข้าวจ้าว หมักทิ้งไว้ 2 คืน แล้วนำมาล้างให้หมดกลิ่น โม่ด้วยเครื่องโม่แป้งให้ละเอียด

2. นำแป้งที่โม่แล้วไปกรองด้วยผ้ากรอง 2 ครั้ง แล้วนำแป้งไปใส่ ถุงผ้าบางๆ มัดปากถุงให้แน่นแล้วนำไปวางหรือแขวนให้สะเด็ดน้ำหรือใช้ของหนักๆ วางทับทิ้งไว้จนแห้งสนิท

 
3. ผสมน้ำตาลทราย น้ำตาลโตนด และน้ำ เคี่ยวจนกระทั่งเหนียวข้นเล็กน้อย

4.นำแป้งที่แห้งแล้วนั้นไปตำจนร่วนดี แล้วใช้น้ำตาลที่คี่ยวจนข้นมาคลุกเคล้าจนเข้ากันดี ใช้น้ำสุกผสมเล็กน้อยเพื่อให้แป้งเหลวพอเหมาะที่จะโรงเป็นเส้นได้ไม่ขาด

 

การโรยเส้นหรือ ทอดลา 

1. นำกะทะใบใหญ่ตั้งไฟอ่อนๆ เอาน้ำมันผสมด้วยไข่แดงทาให้ทั่วกะทะ รอให้กะทะร้อนได้ที่

 
2. นำแป้งซึ่งผสมได้ที่แล้วเทใส่ในเครื่องโรยเส้น หรือภาชนะซึ่งเจาะรูเล็ก ๆ โรยแป้งลงในกระทะ 
โรยวนไปวนมา จนได้แผ่นลาเป็นรูปวงกลมและมีขนาดพองาม รอให้แป้งสุกดีแล้วตักขึ้นวางให้สะเด็ดน้ำมัน แล้วโรยเส้นทอดแผ่นใหม่ต่อไปโดยวิธีเดียวกัน

 

 


ลาลอยมัน
มีวิธีการทำแป้งเช่นเดียวกับลาเช็ด แต่แป้งจะหยาบกว่าเล็กน้อย และใช้ผสมด้วยน้ำตาลโตนด

การโรยเส้นหรือทอดต่างกันตรงที่ ลาลอยมันต้องใส่น้ำมันจำนวนมาก(ครึ่งกะทะหรือมากกว่านั้น)
และไม่ต้องใช้ไข่ผสม เครื่องโรยเส้น เมื่อแต่ละแผ่นสุกดีแล้วจะใช้ไม่ไผ่บางๆ สอดพับแผ่นเป็นรูปสาม

ลาลอยมันเมื่อสุกดีแล้ว จะมีสีน้ำตาลอ่อน แต่ละแผ่นจะหนากว่าลาเช็ด และเมื่อเย็นดีแล้วจะแข็งกรอบและคงรูปตามที่ทับนั้น

 
วัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตขนมลา  
  1. แป้ง ใช้แป้งข้าวเจ้า  2  ส่วน  ผสมกับแป้งข้าวเหนียว  1  ส่วน  หรือ จะใช้แป้งที่สำเร็จรูปแล้วก็ได้ สามารถหาซื้อได้ตามท้องตลาดทั่วไป
 2. น้ำตาลปิ๊ป หรือน้ำตาลทรายแดงใช้ผสมลงไปในแป้ง เพื่อเติมความหวานเข้มให้แก่ขนมลา       
 3. น้ำตาลปี๊บหรือน้ำตาลทรายแดงที่เคี่ยวจนละลายแล้ว ส่วนนี้จะนำไปผสมในแป้งเพื่อที่จะนวดให้แป้งเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน
 4. น้ำมันในการทอดลา  จะนิยมใช้น้ำมันพืช และน้ำมันปาล์ม  เนื่องจากไม่ทำให้ไม่มีกลิ่นหืน  และหาซื้อได้สะดวกตามท้องตลาดทั่วไป
 5. ไข่แดง จะเป็นไข่เป็ดหรือไข่ไก่ก็ได้ ต้มให้สุก แต่ชาวบ้านจะนิยมใช้ไก่ไข่เนื่องจากจะมีกลิ่นคาวน้อยกว่าไข่เป็ด 
  อุปกรณ์ในการทำขนมลา  
 
1. กะละมัง หรือหม้อ  ใช้สำหรับผสมแป้งเพื่อทำขนมลา  ขนาดของภาชนะอาจ  ปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสมของปริมาณวัตถุดิบ            
2. กระทะที่ใช้สำหรับทอดขนมลาควรเป็นกระทะก้นแบน (ถ้าไม่มีใช้กระทะก้นมนก็ได้)
3. เตาถ่าน  ชาวบ้านในชุมชนบ้านป่าพาด  ส่วนใหญ่แล้วจะนิยมใช้เตาถ่านมากกว่าเตาแก๊ส  เพราะมีความประหยัดมากกว่า    
4. กะลาที่นำมาใช้ในการโรยแป้ง  ทำมาจากลูกมะพร้าว  นำมาผ่าออกประมาณ 1/3  ของผล โดยขูดส่วนอื่นออกให้หมด  จากนั้นเจาะรูเล็ก ๆ  ถี่ ๆ  (ประมาณ 20 รู) สำหรับโรยแป้งให้เป็นเส้น ส่วนด้ามจับทำจากไม้เนื้อแข็ง  นำมาผูกติดกับกะลาที่เจาะรูไว้  โดยใช้ย่านลิเพาที่หาได้ง่ายในพื้นที่
 5.ไม้แหลมสำหรับแซะขนม ชาวบ้านจะนิยมนำไม้ไผ่มาดัดแปลงใช้ซึ่งเป็นภูมิปัญญาชาวบ้าน  ซึ่งไม้แหลมสำหรับแซะขนมมีความยาวประมาณ  40  ซ.ม.  ลักษณะการเหลาจะเหลาให้แบนเพื่อให้ง่ายต่อการใช้งาน
 6.ไม้ตีน้ำมัน  ชาวบ้านจะนิยมนำไม้ไผ่มาดัดแปลง  เนื่องจากหาได้ง่ายในพื้นที่  ซึ่งไม้ไผ่ที่นำมาใช้มีความยาวประมาณ 40  ซ.ม. นำมาเหลาแล้วมัดด้วยใยของกาบมะพร้าว  มีความยาวประมาณ  5  ซ.ม.  
 7. กาบมะพร้าวนำมาหั่นให้มีความยาวประมาณ  6  นิ้ว หรือตามความเหมาะสม  ไว้ใช้สำหรับทาไข่แดงในกระทะเพื่อป้องกันแป้งขนมลาติดกระทะเวลาโรย  ซึ่งเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านอย่างหนึ่งที่สามารถทำเองได้  และสามารถหาได้ในท้องถิ่น
 8. กระชอน  ควรหาที่มีตาข่ายละเอียด  เพื่อใช้สำหรับกรอง เอาสิ่งที่เป็นตะกอนและสกปรกออกจากแป้งโดยหาซื้อได้ตามท้องตลาดทั่วไป
 9. ตะหลิว / ทัพพี ใช้สำหรับตักขนมลาขึ้นจากกระทะ เพื่อนำขนมลามาซ้อน ๆ กัน
10. ถ่านใช้เป็นเชื้อเพลิงในการทอดขนมลา  ปัจจุบันนิยมใช้ถ่านที่ทำจากไม้เงาะเพราะให้ความร้อนที่ดี  เผาไหม้ช้าและไม่สิ้นเปลืองรวมถึงเป็นวัสดุที่หาได้ง่ายในท้องถิ่น
ขั้นตอนและวิธีการทำขนมลา  
..... อ่านต่อได้ที่: https://www.gotoknow.org/posts/386679

วันอังคารที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

วิธีป้องกันโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ

กระเพาะปัสสาวะอักเสบ เป็นเรื่องที่ผู้หญิ้งผู้หญิง พบเจอกันบ่อยมาก ผลการสำรวจพบว่า 
ผู้หญิง 100 คนจะเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบถึง 30 คน  ซึ่งการเป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบนี้
สร้างความทรมานให้กับคนที่เป็นอยู่มาก เช่นเมื่อเริ่มมีกระเพาะปัสสาวะอักเสบแรกๆ ก็รู้สึกว่าปัสสาวะ
ไม่สุด เจ็บ ปวด บริเวณเชิงกราน ทรมานสุดๆ และปัสสาวะบ่อยๆ แต่ก็ปล่อยออกมาไม่สุดอยู่ดี
สุดท้ายต้องไปพบหมอ

บางคนที่เป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบและรักษาด้วยการกินยาปฎิชีวนะแล้ว ก็ยังไม่หายสักที 

วันนี้มีวิธีดูแล ป้องกัน มาแชร์ให้รู้โดยทั่วกัน
1. ดื่มน้ำสะอาดมากๆ เพื่อขับเชื้อแบคทีเรียออกจากร่างกาย

2. ปัสสาวะจนสุดให้เป็นนิสัย เพื่อป้องกันปัสสาวะคั่งอยู่ในกระเพาะปัสสาวะนานเกินไป

3. งดใช้ยาดับกลิ่นหรือยาล้างช่องคลอด เพราะอาจทำให้ท่อปัสสาวะระคายเคือง บริเวณปากท่อปัสสาวะ

4. ถ่ายปัสสาวะ ก่อนหรือหลังร่วมเพสทุกครั้ง เพื่อล้างเชื้อแบคทีเรียที่อาจติดอยู่บริเวณปากท่อปัสสาวะ

5. เมื่อถ่ายอุจาระหรือปัสสาวะทุกครั้ง ให้ล้างบริเวณนั้นจากด้านหน้าไปด้านหลัง เพื่อป้องกันเชื้อแบคทีเรียจากทวานหนักเข้าไปในท่อปัสสาวะ
 เล่าเรื่อง งูกะปะ งูพิษพบได้บ่อยที่ภาคใต้

ช่วงนี้ภาคใต้ฝนตกบ่อย ระวังเรื่องงูพิษไว้บ้างก็ดีนะคะ เพราะภาคใต้มีสวนยางมาก งูพวกนี้ชอบแฝงตัว มาบอกเล่าเรื่องงูกะปะ เป็นงูพิษชนิดหนึ่งที่พบได้บ่อยมากเมื่อฝนตกพรำๆ งูชนิดนี้ชอบอยู่ที่ชื่นๆ อดตัวเป็นวงกลม วางหัวไว้ที่บนสุด เตรียมฉกได้ทุกเวลา เมื่อมันตกใจ ถ้าเราไม่สังเกตุจะไม่รู้ว่าเป็นงู คิดว่าเป็นใบไม้แห้ง เป็นการพรางตัวของงูชนิดนี้
 
งูกะปะมีหลายพันธ์ุ ทั้งกะปะลายพรม กะปะคอแดง กะปะปากเหม็น (ภาคใต้) มีลักษณะลำตัวเป็นสามเหลี่ยม นอนขดตัวนิ่ง มีลายสามเหลี่ยมด้านบน ลำตัวกลมป้อม ตัวสั้น นอนขดตัววงกลม ชูคอ ตลอดเวลา ชนิดนี้พิษร้ายแรง สังเกตดีๆ มันจะมี ขนขึ้นใจจมูก แถวบ้านเรียกว่างูกะปะปากเหม็น ซึ่งปากมันเหม็นจริงๆ ที่รู้เพราะตีตายแล้วกลิ่นเหม็นเน่าสุดๆ

เมื่องูกัดแล้วจะมีแผลพุพอง เน่าเปื่อย ถึงขนาดเนื้อหลุด เน่าต้องตัดส่วนนั้นทิ้ง ต้องรีบรักษา จะไปโรงพยาบาล ดีที่สุด หรือมีหมอชาวบ้านที่เก่งเรื่องยางู ก็รักษาได้ แต่ต้องรู้ให้แน่ว่าเป็นงูอะไร ถ้าให้ดี ตีงูแล้วเอาตัวไปด้วย

 
อาการปวดรุนแรงมากน้อยแล้วแต่บุคคล เริ่มไม่กี่นาทีหลังถูกกัด ถ้าโดนกัดที่ขา อาจทำให้ขาชา
บางรายปวดอยู่หลายวัน

อาการบวม เกิดเร็วภายใน 2-3 ชั่วโมงหลังถูกกัด บวมขึ้นเรื่อย ๆ จนเต็มที่ใน 24-48-72 ชั่วโมง
บางทีบวมทั้งขาหรือแขนที่ถูกกัด บางรายรู้สึกคันร่วมด้วยที่รอยกัดมีเลือดออก หรือซึมออกเรื่อย ๆ
บางรายหลังถูกกัด เลือดออกแล้วหยุดไป พอเริ่มเดินก็ออกอีกเล็กน้อยในวันที่ 4 ถึง 7 หลังถูกกัด
แผลและบริเวณใกล้เคียงหรือทั้งขาแขนข้างที่ถูกกัดจะสีคลํ้าขึ้น เป็นรอยจํ้า ห้อเลือด มีรอยพอง หรือตุ่มใสเกิดขึ้น ถ้ามีรอยพองขนาดใหญ่เกิดหลายแห่งหรือเกิดห่างจากที่กัดแสดงว่าได้รับพิษเข้าไปมาก ต่อมารอยพองแตกออก

หากถูกกัดที่ มือหรือเท้า สีของผิวหนังบริเวณดังกล่าว จะเปลี่ยนเป็นสีแดง และเข้มขึ้นเปลี่ยนเป็นสีคลํ้าดำ ต่อมาแห้งลงกลายเป็นเนื้อตาย กระดุกกระดิกไม่ได้ แผลเนื้อตายค่อย ๆ เปื่อยเน่าหลุดออกไปเรื่อย ๆ กว่าแผลจะหายกินเวลานานเป็นเดือน 
 
อาการตกเลือดทั่ว ๆ ไป พบประมาณ 3 ชั่วโมงหลังถูกกัดมีจํ้าเลือดใต้ผิวหนัง และเกิดเรื่อยไปจนถึงวันที่ 3-4 จึงหยุด ในรายรุนแรงจะมีคลื่นไส้ อาเจียน ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด ปัสสาวะมีเลือด เลือดออกตามไรฟัน สมอง หัวใจ เหงือก มีเลือดกำเดาออก บางคนมีอาการตกเลือดภายในทำให้ถึงแก่ความตายได้ ส่วนใหญ่ตายในวันที่ 2-6 หลังถูก กัด ผู้ป่วยถูกงูกะปะกัดตายช้ากว่าผู้ป่วยถูกงูเห่ากัด ถึงแก่กรรมด้วยเลือดออก ไม่หยุด หัวใจวาย เลือดออกในอวัยวะที่สำคัญต่อชีวิตและโรคแทรกซ้อนอย่างอื่น
การรับประทานอาหารของคนที่โดนงูพิษกัด วัดพรหมโลก จังหวัดนครศรีธรรมราช

วันจันทร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

หัวหอมกับอาการคัดจมูก
 
 เมื่อเด็กเล็กๆไม่สบาย คัดจมูก เนื่องจากไข้หวัดไปหาหมอก็ได้ยาลดน้ำมูก ยาแก้แพ้ มากินแล้วก็ไม่ดีขึ้น ลองใช้สมุนไพรไทยสิคะ แค่หอมแดงกลิ่นฉุนๆ ก็ช่วยได้

นำเสนอคะ 
นำหอมแดงมาตบพอแตก ก็ได้กลิ่นแล้ว 
นำมาห่อผ้าบางๆ มามัดไว้กับคอเสื้อ หรือข้อมือสำหรับเด็กเล็กๆ เพราะเด็กโตจะแกะออก  
อาการคัดจมูก หายใจทางปากก็จะหายไป ใช้ได้ทุกเวลาและโอกาส ตามใจคุณแม่





เล่าประสบการณ์จริงที่เห็นกับตา ความเชื่อวิชาตัวเบา

ครั้งหนึ่งมีพี่ชาย ลูกของป้าไม่สบาย นอนรักษาตัวอยู่ที่บ้าน ด้วยอาการ กินไม่ได้ นอนไม่หลับ ไปหาหมอไม่เจอโรค แต่นอนป่วยอยู่อย่างนั้นเป็นแรมเดือน จะมีอาการหนักๆ ก็วันเสาร์และวันอังคาร 
จะบ่นปวดหัว เจ็บปวดตามกระดูก ตลอดเวลา ป้าเลยพาพี่ชายมาบ้านปู่ 

ตอนนั้นปู่แก่มากแล้ว 95 ความจำก็ยังดี แต่เรี่ยวแรงไม่ค่อยมี เลยนั่งดูหลานชายแบบเศร้าๆ เพราะทำอะไรไม่ค่อยได้แล้ว  ปู่เลยบอกกับป้าว่า สงสัยโดนของแน่ๆ ให้โทรเลขไปหาหลานที่อยู่ชุมพร ให้เขามาดูให้เพราะเขาเรียนด้านมนต์คาถา เขาจะรู้ ว่าโดนอะไร 

เมื่อถึงเวลา เขาก็มาแล้วถามอาการทั้งหมด นั่งวิเคราะห์อยู่พักหนึ่ง ก็ลุกขึ้นยืนแล้วให้ไปเอาด้ายสีขาวๆมา (ด้ายที่ใช้เย็บผ้า) เพราะมีแค่นั้นไม่รู้จะหาที่ไหนได้ ยุคนั้นไม่มีรถขับอย่างทุกวันนี้ แล้วเขาก็ไห้คนไข้นอนตรงกลาง ใช้ด้ายขึง 4 มุม ห้ามใครเข้าไปในบริเวณนั้น (เรานั่งดูอยู่ห่างที่นอกชานบ้านพร้อมกับคนอื่นๆ )  เขาก็นั่งลงทำสมาธิอยู่และบริกรรมคาถาพักหนึ่ง จู่ๆเขากระโดดขึ้นไปบนเส้นด้ายที่ได้ขึงไว้ แล้วหลับตาเดินๆๆและเดิน ปากก็ว่าคาถาตลอดเวลา จนเดินหมดรอบทุกด้าย เขาก็กระโดดลงมา ปากก็ว่าคาถาอยู่ตลอดเวลา สักพักลืมตาขึ้น เป็นอันเสร็จพิธีกรรม แล้วจัดยาให้คนไข้ วิธีการกิน การรักษาตัว
กำหนดให้ว่ากี่วันจะหาย แล้วต้องไปวัดทำบุญ 3 วัน  เป็นอันเสร็จพิธีกับเรื่องราวที่ทำให้ประหลาดใจ

ถ้าไม่เห็นกับตาตัวเอง ก็ไม่เชื่อเช่นกัน แต่นี่เห็นชัดๆ ก็ยังไม่เชื่อเดินไปดูซ้ำอีกทีว่าจริงหรือผู้ชายคนหนึ่งขึ้นไปเดินอยู่บนเส้นด้ายที่เย็บผ้า ทั้งๆที่แค่เราดึงก็ขาดได้แล้ว แต่นี่ดันเดินด้วยนี่สิ ถึงขึ้น งง งวย 
เดินได้ไง เดินให้เห็นว่าเดินจริงๆทั้ง 4 ด้าน ไม่ขาด ไม่หย่อน เดินเพลินๆ

สมัยนั้นไม่มีโทรศัพย์ใช้เลยไม่มีรูปถ่ายไห้ดู

เล่าเรื่องขำๆ ด้านไสยศาสตร์บนฐานของความเชื่อ คาถาและตำรายา

เมื่อวานมาทำงานนอกเวลากัน เจอหนังสือชื่อ คาถาแลตำรายา เลยทำไห้เป็นประเด็นซึ่งนำมาโยงถึงเรื่อง คาถาและไสยศาสตร์ สิ่งที่มองไม่เห็น ห้ามลบหลู่ (โดยเด็ดขาด) ความเชื่อ

เริ่มเรื่อง ของไสยศาตร์ ผู้เขียนเล่า เคยเห็นประสบพบเจอ ด้วยตนเอง เพราะมีปู่เป็นหมอทางไสยศาตร์ สายขาว (ใช้รักษาผู้คนทั่วไป) และเป็นความเชื่อของตัวเองว่า มีจริง ไม่เคยลบหลู่

ผู้เขียนตอนนั้นอายุประมาณ 11 ขวบ เห็นปู่เดินถือขวานตอนเที่ยงเพื่อจะไปฟันไม้ ได้ยินเสียงฟันไม้
ฉับ ฉับ ฉับ แล้วหายไปเลย จู่ๆ ปู่เดินกลับมาพร้อมกับเลือดไหลพุ่งปรี๊ด ที่ตาตุ่ม แผลขาวแล้วมีเลือดไหลตลอดเวลา ผู้เขียนเข้าไปถามว่าปู่เป็นอะไร ปู่บอกโดนขวานฟันตาตุ่ม ดูเลือดสิ แล้วปู่มานั่งที่ใต้ต้นไม้ บริกรรมคาถา งึมงำ งึมงำ งึมงำ 3 ครั้ง เป่า พรวด พรวด พรวด ที่บริเวณแผล 3 ครั้งเช่นกัน 
สักพักเลือดที่ไหล หยุดหายแห้งเหงือดไปโดยพลัน ผู้เขียนถามปู่ว่า ทำไมเลือดไม่ไหลแล้ว
ปู่ก็บอกว่า กุเสกคาถาคัดเลือด เลือดเลยแห้ง (เป็นความเชื่อ) แต่ถ้าไม่เห็นกับตาตัวเองก็จะไม่เชื่อเช่นกัน แต่นี่สัมผัสมาด้วยตาตัวเอง ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ

คาถา และ เวทมนต์ มีจริง แต่ผู้ที่ใช้ ต้องรักษาศีล 5  อยู่ในศีลในธรรมแล้วสิ่งเหล่านั้นจะคุ้มครองเอง

วันศุกร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

เรื่องดีๆ กับชีวิตหมาน้อย แม่หมาคาบลูกไปเจอคนใจดีให้ช่วยลูก


อ่านเฟสของพี่บุญแสน เมฆหมอก พี่ชายที่ใจดี นามสกุลเมฆหมอก กับการรักน้องหมาของเขา ติดตามพี่เขามาตลอด เขาใจดี ช่วยเหลือน้องหมามาหลายต่อหลายครั้ง ครั้งนี้ก็ทำให้ซึ้ง อ่านแล้วซึ้งเลย น้ำตาซึม

หมาตัวนี้วิ่งผ่าสายฝนแล้วมาวางลูกหน้ารถผมไม่ให้ผมไปผมเลยลงไปเพื่อจะเอาออก
ปรากฎว่าลูกมันมีแผลที่แขนตกลงว่ามันวิ่งมาดักรถผมให้ผมช่วยลูกมันมีเลือดออกคับผมเลยช่วยเอาไห้ระหว่างทำแผลแม่นั้งมองลูกตลอดทำแผลเสร็จมันกอดลูกด้วยความรัก
(ดูไว้นะไอ้พวกคนที่เอาลูกไปทิ้งหมามันยังรักลูกเลย)น้องหมาฉลาดมากจำรถผมได้













ผู้ใจบุญ  บุญแสน เมฆหมอก  ผู้ถ่ายภาพอันแสนสวยงาม Gasanee Croskery