วันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ต้นวาสนา

ต้นวาสนาเป็นไม้ที่แปลกมาก นานๆ เขาถึงจะออกดอกซักครั้ง แต่เวลาที่ต้นวาสนาออกดอกมักออกมาพร้อมๆกัน โบราณเขาว่า จะได้รับโชคลาภตามมา เพราะว่าน๊าน นาน จริงๆกว่าจะออกดอกมาให้ได้กลิ่นหอมๆ อันรัญจวญใจกัน

วาสนา เป็นไม้ที่ออกดอกยาก เขาถึงเรียกว่า วาสนา ถือเป็นไม้เสี่ยงทาย คือเวลาที่วาสนาออกดอก
จะถือกันว่าเจ้าของกำลังจะโชคดีมีวาสนา

ทิศเสริมมงคลในการปลูกต้นวาสนา
เพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้านและผู้อาศัย ควรปลูกต้นวาสนาอธิษฐานไว้ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ

ผู้ปลูกควรปลูกในวันอังคาร เพราะโบราณเชื่อว่าการปลูกไม้เพื่อเอาประโยชน์ทางใบ
ให้ปลูกในวันอังคาร ถ้าจะให้เป็นมงคลยิ่งขึ้นผู้ปลูกควรเป็นสภาพสตรี เพราะวาสนาอธิษฐานเป็นชื่อ
ที่เหมาะสมกับสุภาพสตรี

วิธีการปลูก สำหรับปลูกในแปลง เพื่อประดับบริเวณบ้านและสวน ขนาดหลุมปลูก 30 x 30 x 30 เซนติเมตร ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก : ดินร่วน อัตราส่วน 1 : 2 ผสมดินปลูก

ส่วนการปลูกในกระถางเพื่อประดับภายในและภายนอกอาคาร ควรใช้กระถางทรงสูงขนาด 10-18 นิ้ว
ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก : แกลบผุ : ดินร่วน อัตรา 1 : 1 : 1 ผสมดินปลูก ควรเปลี่ยนกระถาง 1-2 ปี / ครั้ง หรือแล้วแต่ความเหมาะสม

การดูแลรักษา ต้นวาสนาอธิษฐาน ต้องการแสงแดดอ่อนรำไรจนถึงแสงแดดจัดและควรรดน้ำอย่างน้อย  5-7 วัน/ครั้ง ควรใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก อัตรา 0.5-1 กิโลกรัม/ต้น ควรใส่ปีละ 5-6 ครั้ง

 
ลักษณะพิเศษที่ใบ คือถ้าส่วนใบได้รับแสงแดดสม่ำเสมอ ทำให้สีสรรค์ของใบสวยงามยิ่งขึ้น
การที่ต้นวาสนาออกดอกเป็นเรื่องที่ดี เพราะต้นวาสนาเป็นไม้ประดับที่ได้รับความนิยมในหมู่ นักเล่นต้นไม้มงคลมาตั้งแต่สมัยโบราณกาลแล้ว เนื่องจากมีความเชื่อว่า หากปลูกต้นวาสนาภายในบริเวณบ้าน คอยดูแลรดน้ำพรวนดิน ใส่ปุ๋ยให้สวยงดงามและออกดอก จะทำให้คนในบ้านหรือในครอบครัวจะมีอำนาจวาสนา บารมี ได้รับโชคลาภ ทั้งเป็นข้าวของ เงินทอง แม้ยศถาบรรดาศักดิ์ และจะได้เลื่อนตำแหน่งหน้าที่การงาน

ความเชื่อของคนไทยนั้น หากต้องการปลูกต้นวาสนาให้เป็นความมงคลยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นวาสนาราชินี หรือวาสนาอธิษฐานควรจะเป็นสุภาพสตรี เพราะไม่ว่าจะเป็นวาสนาอธิษฐาน หรือวาสนาราชินี

จะสอดคล้องจองให้ผู้หญิงเป็นฝ่ายปลูก และควรปลูกในวันอังคาร ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ถือเป็นทิศที่เหมาะสำหรับการปลูกต้นวาสนาที่สุด เพราะจะช่วยเพิ่มพลังของต้นไม้ และเสริมความเป็นสิริมงคลให้แก่ครอบครัว

ก็แล้วแต่ความเชื่อของบุคคลนะค่ะ แต่ถ้าจะเชื่อก็ไม่เสียหายอะไร เลี้ยงไป ดูแลกันไป พอออกดอกได้กลิ่นหอมไป แถมบางคนได้รับโชคลาภไปด้วย เพราะใจอธิฐานขอให้ได้รับแต่สิ่งดีๆ หรือไม่ก็มีคนทักว่าจะได้โชคลาภ ก็เป็นมงคลยิ่งแล้ว

วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

สาระน่ารู้เรื่อง สบู่เลือด

ไปเจอหนังสือสารพัดเกษตร เปิดอ่านดูด้านใน เจอสบู่เลือดเถารักษาโรค ใบหน้าเป็นฝ้า เป็นสิว รักษาสตรีเป็นมุตกิตระดูขาว รักษาสตรีที่มีโลหิตเป็นพิษ รักษาสตรีที่คลอดบุตรแล้วเป็นโรคผอมแห้งแรงน้อย ร่างกายซีดเซียว 

ท่านเขียนไว้ว่าเมื่อดองสบู่เลือดนี้กินแล้วร่างกายจะแต่งตึง ใบหน้าจะขาวเหมือนยองใย สิวฝ้าจะหายไป ร่างกายจะสมบูรณ์ กลับมาสาวกว่าเดิม เป็นที่รักของสามี (ว่างั้น) เครื่องในจะฟิต

ถ้าเป็นผู้ชายจะทำให้ร่างกายแข็งแรง ถ้าปวดเมื่อยจะหาย 
หากสามีภรรยาแต่งงานกันหลายปีไม่มีบุตรถ้าได้กินยาดองสบู่เลือดนี้แล้วจะสมหวังในไม่ช้า
วิธีดอง
1. หั่นสบู่เลือดชิ้นบางๆ ไม่ใหญ่มาก หั่นทั้งเปลือก แล้วผึ่งลมให้หมาดๆ

2.นำใส่ขวดโหลหรือไหเล็กๆ แล้วเอาสุราขาว 28-30 ดีกรี ใส่ลงไปให้ท่วมยา ปิดฝาให้แน่น
 
3.นำไปหมกข้าวเปลือกหรือแกลบข้าว ทิ้งไว้ 7 วัน เมื่อครบกำหนดให้นำมารับประทานได้

วิธรับประทาน 
กินก่อนอาหารเย็น 20 นาที ครั้งละครึ่งถ้วย หรือ ก๊งเดียว

 

ถ้ากินสุราไม่ได้ ก็ให้เอามาดองน้ำผึ้ง แต่ต้องบดละเอียด ใส่โหลแล้วเอาน้ำผึ้งไปดองหมักไว้  7 วันเช่นกัน เมื่อครบกำหนดให้กินก่อนนอนครั้งละ 1 แก้วตวงยา หรือวันละ 2 ครั้ง
(ใช้แก้โรคอัมพาตได้ด้วย)

ว่านสบู่เลือด แต่โบราณ เชื่อว่าดีทางด้านคงกระพันชาตรี โดยนิยมใช้ยางจากหัวสบู่เลือด

สรรพคุณทางยาโบราณ ให้ฝานเนื้อหัวว่านเป็นแว่น ๆ ตากแห้งแล้วบดเป็นผงผสมน้ำผึ้งแท้
ปั้นเป็นก้อนขนาดปลายนิ้วก้อยมือผู้ใหญ่
กิน ๓ เวลาก่อนอาหารและก่อนนอน เป็นยาอายุวัฒนะชั้นยอด

สตรีประจำเดือนมาไม่ปกติ ใช้หัวสดกะพอประมาณสับละเอียดผสมน้ำซาวข้าว หรือเหล้า ๔๐ ดีกรี
เล็กน้อยกินจะหายได้ และตามตำรายาแผนไทยปัจจุบันระบุว่า ใบของ“ว่านสบู่เลือด”เพิ่มมีการค้นพบว่า

มีสรรคุณทางเภสัชชั้นยอด โดยใช้ใบ จำนวน ๗ ใบ ล้างน้ำให้สะอาดต้นกับน้ำตามต้องการดื่มแทนน้ำชา จะเป็นยาบำรุงเซลล์สมอง และบำรุงเส้นปลายประสาทได้ ซึ่งจะทำให้ไม่เป็นโรคความจำเสื่อมได้

ผู้ที่กินยาสบู่เลือดเถานี้โรคผิวหนังจะค่อยๆหายไป เลือดลมเดินสะดวก เป็นยาฟอกเลือด

  • หัวว่านสบู่เลือด นำมาดองกับเหล้ากินเป็นยาบำรุงกำลัง ช่วยทำให้กระชุ่มกระชวย 
  • สุขภาพแข็งแรง
  • หัวมีสรรพคุณเป็นยาบำรุงกำหนัด
  • ช่วยบำรุงธาตุไฟในร่างกาย
  • หัวนำตากแห้งแล้วบดเป็นผงปั้นเป็นลูกกลอนไว้กินเป็นยาอายุวัฒนะ
  • รากว่านสบู่เลือด สรรพคุณช่วยบำรุงประสาท บำรุงเส้นประสาท ป้องกันโรคความจำเสื่อม 
  • ช่วยทำให้เจริญอาหาร
  • ไม่ระบุส่วนที่ใช้ ช่วยลดไขมันในเส้นเลือด
  • ช่วยรักษาอาการผอมแห้ง  ด้วยการใช้หัวนำมาต้มอาบหรือต้มกินเป็นยาบำรุงของสตรี แก้อาการผอมแห้ง หน้าตาซีดเซียวไม่มีน้ำมีนวล ไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงได้ แต่การใช้สมุนไพรชนิดนี้ต้องระมัดระวังสักหน่อยหากนำมาใช้กับสตรี
  • สมุนไพรสบู่เลือด สรรพคุณช่วยรักษาโรคมะเร็งต่าง ๆ
  • ไม่ระบุส่วนที่ใช้ ช่วยรักษาโรคหัวใจ 
  • ช่วยรักษาโรคเบาหวาน
  • ช่วยรักษาโรคโลหิตจาง คนเลือดจางหรือเลือดน้อยให้ใช้หัวนำมาต้มกิน
  • ช่วยแก้เลือดลม ช่วยลดความดันโลหิต
  • ไม่ระบุส่วนที่ใช้ ช่วยแก้ปอดพิการ 
  • ช่วยกระจายลมที่แน่นในอก
  • ช่วยรักษาโรคลมชักหรือลมบ้าหมู โดยในตำราพระเทพระบุว่าให้ใช้สมุนไพรสบู่เลือดที่มีสีแดง
  • เรื่อ ๆ (สีขาวไม่ใช้) ประมาณ 3 กิโลกรัมขึ้นไปเพื่อความเข้มข้นของยา นำหัวมาหั่นเป็นแว่น ๆ แล้วนำไปตากแดดให้แห้ง หลังจากนั้นนำมาบดให้ละเอียดผสมกับน้ำผึ้งปั้นเป็นยาลูกกลอนขนาดเท้าเม็ด พุทรา ใช้กินก่อนอาหารเช้า เที่ยง และเย็น กินไปประมาณ 4-6 ปีอาการจะหายขาด
  • เถาใช้ปรุงเป็นยาขับโลหิตระดูของสตรีได้
  • ช่วยแก้อาการตกเลือดของสตรี แก้มุตกิดระดูขาว หรือตกขาวได้อย่างชะงัด ด้วยการใช้หัวสบู่เลือดสด ๆ นำมาหั่นเป็นชิ้นบาง ๆ สัก 3-4 แว่นตำละเอียด ผสมรวมกับน้ำซาวข้าว หรือเหล้าขาว 40 ดีกรี แล้วคั้นเอาเฉพาะน้ำมากิน 1 ถ้วยชา ในช่วงเช้า เย็น และก่อนนอน
  • หัวใช้ต้มกิน ช่วยแก้ประจำเดือนมาไม่ปกติของสตรีได้
  • ใบ สามารถนำมาใช้รักษาแผลสดและแผลเรื้อรังได้
  • ใบใช้ผสมกับสมุนไพรอื่น ต้มอบไอน้ำ ช่วยรักษาโรคผิวหนัง ผื่นคันตามตัวได้
  • ดอกช่วยแก้โรคผิวหนังมีผื่นคัน
  • ดอก,ใบ,ต้น,ราก ช่วยแก้มะเร็งคุดทะราด แก้กลากเกลื้อน และหิด  
  • ใบ,ต้น,รากช่วยแก้โรคเรื้อนใหญ่ เรื้อนน้อย  
  • ต้น ช่วยแก้โรคมือเท้าไม่มีกำลังได้  
  • เถาและก้าน นำมาใช้ดองกับสุรากิน จะช่วยทำให้ผิวหนังชา ผิวอยู่ยงคงกระพันเฆี่ยนตีไม่แตก นักเลงสมัยโบราณนิยมกันมากทั้งนำมากินและนำมาทา  
  • น้ำยางสีแดงสามารถนำมาใช้เป็นหมึกเพื่อใช้สักยันต์ตามตัวเพื่อทำให้หนังเหนียวได้  
  • หัว ช่วยแก้อาการปวดเมื่อยตามร่างกาย ด้วยการใช้หัวสบู่เลือดฝานบาง ๆ ประมาณ 2 กำมือ นำมาดองกับเหล้าขาว 1 ขวด แล้วเติมน้ำผึ้งพอประมาณ ดองทิ้งไว้ประมาณ 1 ดื่ม ใช้ดื่มครั้งละ 1 แก้วเป๊ก ก่อนอาหาร 3 มื้อและช่วงก่อนนอน  
 
ประโยชน์ของว่านสบู่เลือด ดอกช่วยแก้สิว แก้ฝ้าได้
ข้อสุดท้ายที่แหละสำคัญ กำลังรออยู่ ฝ้าทั้งแก้ม ซ้าย ขวา รอพิสูจน์ยา ว่าหายจริง หาทั้งยากินทั้งยาทา

 



วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

สังขยาขนุน

 

ขั้นตอนการนวดแป้ง
ไข่เป็ดหรือไข่ไก่      6 ฟอง
น้ำตาลปี๊บ 1 ถ้วยตวง
น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วยตวง
ห้วกะทิ     1 ถ้วยตวง
เนื้อขนุน หั่นชิ้นเล็ก 1 ถ้วยตวง
เกลือป่น   1/2 ช้อนชา 

   

ขั้นตอนวิธีการทำ
1. นำไข่เป็ด น้ำตาล เกลือ ใส่หม้อ ขยำให้เข้ากัน ตักหัวกะทิใส่ลงทีละน้อย ขยำให้เข้ากันดี
 
 
2. ใส่เนื้อขนุน ลงไปผสมในกับน้ำกะทิ

 
3. ตักส่วนผสมใส่ถ้วย ตั้งน้ำให้เดือดนำไปนึ่งจนสุก

วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

กล้วยฉาบ กล้วยทอดเค็ม


เมื่อครั้งหนึ่งที่นายเบส ลูกชายอยากจะทำกล้วยฉาบไปส่งครู พูดกับแม่ว่าเดี๋ยวเพื่อนๆจะมาทำด้วย ช่วยๆกันทำ ถ่ายรูปให้ด้วยนะแม่ จัดไปลูกเอ๋ย แม่ทำได้เพื่อลูกทุกคน (รักว่างั้น) กล้วยทอดนั้นทำได้หลายกล้วยเหมือนกันนะ เช่นกล้วยน้ำว้า กล้วยหิน แต่รสชาดนะสู้กล้วยน้ำว้าไม่ได้

 

ส่วนผสม
  1. กล้วยน้ำว้า / กล้วยหิน 1 หวี
  2. น้ำตาลทราย 1 ถ้วยตวง
  3. เนย 2 ขีด
  4. น้ำมันสำหรับทอด 2 ลิตร
  5. น้ำ 1/2 ถ้วย
 
วิธีทำกล้วยทอด

1. ปอกเปลือกกล้วยออก โดยใช้ที่ปอกเปลือกแตงกวา
 
2. หันเป็นชิ้นตามความยาว หรือตามขวางก็ได้ แล้วเอาไปแช่น้ำปูนใส สัก 10-20 นาที ล้างน้ำ 1 ครั้ง ผึ่งให้หมาดๆ  หรือไม่แช่ก็ได้ เวลาทอดจะเร็วกว่า แต่แช่น้ำปูนจะกรอบนานกว่า

 
3.ตั้งกระทะ ใส่น้ำมันลงไป รอให้ร้อนปานกลาง นำกล้วยลงไปทอดให้เหลืองสุกโดยทั่วกัน
ตักขึ้นพักให้สะเด็ดน้ำมัน 

 
4. โรยเกลือป่นเล็กน้อยให้ออกเค็มนิดๆ คลุกเคล้าให้ทั่ว จากนั้นเก็บใส่ถุงหรือขวดโหลเก็บไว้กินแบบกรอบๆ
 
 ++++++++++++++++++++++++++++++++

แบบฉาบหวาน 
 
วิธีการทอดกล้วย 
ก็เหมือนกับทอดแบบเค็ม แต่แตกต่างตรงที่ต้องเอามาคลุกเคล้ากันน้ำตาลที่เคี่ยวกับเนยจนละลายดีแล้ว

วิธีทำ
 ผสมน้ำตาลกับน้ำและเนยพอละลายตั้งไฟเคี่ยวพอข้น ใส่กล้วยที่ทอดไว้แล้วลงไปฉาบจนทั่วยกลง



ขนมแข่ง
 
เมื่อถึงคราวเทศการตรุษจีนของชาวไทยเชื้อสายจีน หรือคนจีน ก็แล้วแต่ต้องมีขนมชนิดนี้ อยู่ในพิธีด้วยเสมอมา ตั้งแต่โบราณกาล ขนมเข่ง มีความหมายมงคล หมายถึงความหวานชื่นราบรื่นในชีวิต 
ขนมเข่งที่ใส่ในชะลอม (เข่ง) จึงหมายถึง การมีชีวิตที่หวานชื่นราบรื่นอันสมบูรณ์ 
ผู้เขียนจำได้ตอนรุ่นๆ ได้ไปทำเสริมสวยอยู่กับเจ้าของร้าน แม่เขาเป็นคนจีน และทำขนมนี้เอง 
ผู้เขียนได้ช่วยทำด้วย ซึ่งก็คิดว่าจะได้ทำบุญไปด้วย แม้เราจะไม่ใช่คนจีนก็ตาม เพราะเชื่อตามเขาว่า 

ขนมเข่ง คือความหวานชื่นราบรื่นในชีวิต ขนมเข่งที่ใส่ในชะลอม (เข่ง) คือการมีชีวิตที่หวานชื่นราบรื่น

และมีวิธีการทำอย่างไร ต้องติดตาม

ส่วนผสม

1. แป้งข้าวเหนียว    500 กรัม
2. แป้งท้าวยายม่อม 2 ช้อนโต๊ะ
3. น้ำเปล่า             2 ½ ถ้วยตวง
4. น้ำตาลทราย       3 ½ ถ้วยตวง
5. น้ำมันพืชเล็กน้อย สำหรับทากระทงใบตอง (เข่ง)

 

ไส้ขนม
1. ถั่วทองผัดทำไส้
 

   

วิธีทำ
 
1. แป้งข้าวเหนียว น้ำตาลทรายนวดผสมเข้าด้วยกัน จะได้ลักษณะเป็นเม็ดทราย ค่อยๆใส่น้ำเปล่าลงไปทีละนิดจนหมด นวดผสมจนแป้งเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน 

 
2. ผัดไส้ถั่วกับน้ำตาล เติมเกลือนิดหน่อย หรือพริกไทยเล็กน้อยก็ตามใจ ปั้นเป็นก้อนกลมๆ

 

3. กระทงใบตองแห้ง (เข่ง) ทาด้วยน้ำมันพืชบางๆ ใส่ไส้ลงไปจากนั้นตักแป้งที่ผสมไว้หยอดลงไปเกือบเต็มกระทง


4. นำไปนึ่งจนสุกใช้เวลาประมาณ 30 นาที ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดของกระทงที่นำมาใส่ขนม
รอให้เย็น จับคว่ำเป็นคู่ ๆ จะได้ไม่เปลืองเนื้อที่ ที่จะเก็บ

 
ข้อมูลจาก th.openrice.com/th/recipe เรียบเรียงโดยบ้านบิวเบสท์
วันตรุษจีน




 
เมื่อหนึ่งปีมีครั้ง เช่นวันตรุษจีนของคนเชื้อสายจีน ก็ต้องทำบุญ ไหว้เจ้า ไหว้บรรพบุรุษกัน 
ซึ่งคนเชื้อสายจีนถือเป็นเรื่องมงคลอันยิ่งใหญ่ ของครอบครัว และการอยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา เพื่อกระทำการอันเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต และได้ทำบุญให้กับ อากง อาม่า อาเตี๋ย ญาติๆที่ได้เสียชีวิตกันไป และได้ ไหว้เทพเจ้าต่างๆที่เคารพนับถือ ให้ตัวเองมีความสุข มีแต่เฮง เฮง เฮง ตลอดปี

ตรุษจีนในประเทศไทย

ชาวไทยเชื้อสายจีนจะถือประเพณีปฏิบัติอยู่ 3 วัน คือวันจ่าย วันไหว้ และวันเที่ยว
  • วันจ่าย คือวันก่อนวันสิ้นปี เป็นวันที่ชาวไทยเชื้อสายจีนจะต้องไปซื้ออาหารผลไม้และเครื่องเซ่นไหว้ต่างๆ ก่อนที่ร้านค้าทั้งหลายจะปิดร้านหยุดพักผ่อนยาว ไม่จำเป็นจะต้องมีการจุดธูปอัญเชิญเจ้าที่ (地主爺 / 地主爷 ตี่จู้เอี๊ย) ให้ลงมาจากสวรรค์เพื่อรับการสักการบูชาของเจ้าบ้าน หลังจากที่ได้ไหว้อัญเชิญขึ้นสวรรค์เมื่อ 4 วันที่แล้วเพราะว่าเจ้าที่ไม่ได้ไปไหนเมื่อสี่วันที่แล้ว ตัวเราส่งแต่ เจ้าซิ้ง หรือเจ้าเตา
 
วันไหว้
* ตอนเช้ามืดจะไหว้ "ป้ายเล่าเอี๊ย" (拜老爺 / 拜老爷) เป็นการไหว้เทพเจ้าต่างๆ เครื่องไหว้คือ 
เนื้อสัตว์สามอย่าง (ซาแซ ซำเช้ง) ได้แก่ หมู เป็ด ไก่ หรือเพิ่มตับ ปลา เป็นเนื้อสัตว์ห้าอย่าง 
(โหงวแซ) เหล้า น้ำชา และกระดาษเงินกระดาษทอง
 

 
* ตอนสาย จะไหว้ "ป้ายแป๋บ้อ" (拜父母) คือการไหว้บรรพบุรุษ พ่อแม่ญาติ พี่น้องที่ถึงแก่กรรมไปแล้ว เป็นการแสดงความกตัญญูตาม คติจีน การไหว้ครั้งนี้จะไหว้ไม่เกินเที่ยง เครื่องไหว้จะประกอบด้วย ซาแซ อาหารคาวหวาน (ส่วนมากจะทำตามที่ผู้ที่ล่วงลับเคยชอบ) รวมทั้งการเผากระดาษเงินกระดาษทอง เสื้อผ้ากระดาษเพื่ออุทิศแก่ผู้ล่วงลับ หลังจากนั้น ญาติพี่น้องจะมารวมกันรับประทานอาหารที่ได้เซ่นไหว้ไปเป็นสิริมงคล และถือเป็นเวลาที่ครอบครัวหรือวงศ์ตระกูลจะรวมตัวกันได้มากที่สุด จะแลกเปลี่ยนอั่งเปาหลังจากรับประทานอาหารร่วมกันแล้ว 
 

* ตอนบ่าย จะไหว้ "ป้ายฮ่อเฮียตี๋" (拜好兄弟) เป็นการไหว้ผีพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว เครื่องไหว้จะเป็นพวกขนมเข่ง ขนมเทียน เผือกเชื่อมน้ำตาล กระดาษเงินกระดาษทอง พร้อมทั้งมีการจุดประทัดเพื่อไล่สิ่งชั่วร้ายและเพื่อเป็นสิริมงคล 
 
 
วันเที่ยว หรือ วันถือ คือวันขึ้นปีใหม่ เป็นวันที่หนึ่ง (初一 ชิวอิก) ของเดือนที่หนึ่งของปี 
วันนี้ชาวจีนจะถือธรรมเนียมโบราณที่ยังปฏิบัติสืบต่อกันมาถึงปัจจุบันคือ "ป้ายเจีย" เป็นการไหว้ขอพรและอวยพรจากญาติผู้ใหญ่และผู้ที่เคารพรัก โดยนำส้มสีทองไปมอบให้ เหตุที่ให้ส้มก็เพราะส้มออก


เสียงภาษาแต้จิ๋วว่า "กิก" (橘) ไปพ้องกับคำว่าความสุขหรือโชคลาภ 吉 แปลว่า โชคลาภ หรือ  
ภาษาฮกเกี้ยน และ ภาษากวางตุ้ง ส้มเรียกว่า "ก้าม" (柑) ซึ่งไปพ้องกับคำว่าทอง (金)
เพราะฉะนั้นการให้ส้มจึงเหมือนนำความสุขหรือโชคลาภไปให้ จะมอบส้มจำนวน 4 ผล (เสมือนมี 吉 ประกอบกัน 4 ตัว กลายเป็น 𡅕) ห่อด้วยผ้าเช็ดหน้าของผู้ชาย เหตุที่เรียกวันนี้ว่าวันถือคือ เป็นวันที่ชาวจีนถือว่าเป็นสิริมงคล งดการทำบาป จะมีคติถือบางอย่าง เช่น ไม่พูดจาไม่ดีต่อกัน ไม่ทวงหนี้กัน 
ไม่จับไม้กวาด และจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าใหม่แล้วออกเยี่ยมอวยพรและพักผ่อนนอกบ้าน เป็นต้น
ประเพณีปฏิบัติ
 
ภาพอั่งเปาจากอินเตอร์เน็ต
สัญลักษณ์อย่างหนึ่งของตรุษจีน คือ อั่งเปา (ซองแดง) คือ ซองใส่เงินที่ผู้ใหญ่แล้วจะมอบให้ผู้น้อย และมีการแลกเปลี่ยนกันเอง หรือ หรือจะใช้คำว่า แต๊ะเอีย (ผูกเอว) ที่มาคือในสมัยก่อน เหรียญจะมี
รูตรงกลาง ผู้ใหญ่จะร้อยด้วยเชือกสีแดงเป็นพวงๆ และนำมามอบให้เด็ก ๆ ซึ่งจะนำมาผูกเก็บไว้ที่เอว
ข้อมูลจาก วิกิพีเดีย เรียบเรียงโดยบ้านบิวเบสท์