วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2558

หัวครกฉาบน้ำตาล


หัวครก หัวครก อย่าลวง  ผู้ชาย ละขี้ลวงหัวครก  ผู้ชาย ละขี้ห๊กอย่าลวง  ผู้ชาย ละขี้ลวงหัวครก 
ใส่ละบ่าวนี้  ทำน้องให้น้ำตาต๊ก  น้ำตาไหลซกๆ  มาหลอกน้องสาวทำไหร๊  บอกรักน้องคนเดียว 
พี่เดินเที่ยว  พาสาวมา  จากไหน  แล้วมาห๊กน้องใส่  หมั่นไส้  ผู้ชายหัวครก  หัวครก  หัวครกอย่าลวง
ผู้ชาย ละขี้ลวงหัวครก  เป็นท่อนของ เพลงหัวครก  ของดวงจันทร์ สุวรรณี

หัวครก หัวครก ยาร่วง เป็นพุ่มเป็นพวง แหละยาร่วงหัวครก น้องเห้อ พี่ไม่ขี้หก รักของพี่ลูกดก
เหมือนหัวครกยาร่วง รักน้องหนักหน่วง รักเหมือนลูกม่วงจิ้มเคย รักน้องจังเลย แม่ทรามเชยยาร่วง 

เป็นท่อนของ เพลงสามช่ายาร่วง ของฌามา


จะว่าไปแล้วเรื่องหัวครก หรือ ยาร่วง หัวครก หรือ กาหยี หรือ เม็ดล่อ เม็ดท้ายล่อ หรือ ยาร่วง หรือ กาหยู หรือ แตแหร หรือ ยะโหย หรือ ท้ายล่อ ลูกหัวครก หลากหลายชื่อทั้งหมดทั้งสิ้นเหล่านี้
หมายถึง เม็ดมะม่วงหิมพานต์ นี้เอง  ที่ชาวปักต์ใต้ ใช้เรียกกัน


มะม่วงหิมพานต์ ที่บ้านฉันมี 2 พันธุ์ สีแดงส้มจะฝาดกว่าสีเหลืองนวล ลูกจะใหญ่กว่าด้วย


สีเหลืองนวลจะหอมและหวานแต่ เม็ดหัวครก กินเหมือนกัน


กว่าจะมาเป็นเม็ดหัวครกฉาบน้ำตาล นั้นต้องผ่านกรรมวิธีต่างๆ แต่ก็คุ้มกับความอร่อย เลอค่า
เพราะเป็นขนมพื้นบ้านที่หาทานได้ยาก มีเฉพาะหน้าฝนที่มีมะม่วงหิมพานต์ เป็นเฉพาะฤดูนี้เท่านั้นที่จะอร่อยสุด 


เป็นเม็ดสด ใหม่ ที่จะนำมาทำเป็น หัวครกฉาบ ถ้าเป็นเม็ดเก่าจะไม่หอมอร่อยเท่าเม็ดสด



ส่วนผสม

เม็ดหัวครก (มะม่วงหิมพานต์สด)



น้ำตาลปี๊บ  น้ำ หม้อ กระทะ ตะหลิว



ใบแก่ไว้รองเม็ดหัวครกฉาบ




วิธีทำ

1. นำเม็ดหัวครก มาปลิดขั้วจากผล ล้างเม็ดให้สะอาด


2. ผ่าให้เป็น 2 ซีก สับๆ เฉาะๆ (อีโตีเท่านั้น) พร้อมถุงมือ กันยางที่เปลือก


 ผ่าจนหมด ระวังยางทำให้เป็นแผลพุพองได้


 3.แคะเม็ดออกจากเปลือก


 

 แคะหมดแล้ว แช่เม็ดที่ผ่าแล้วในน้ำเกลือ 10-20 นาที


4. เทน้ำเกลือทิ้ง ล้างน้ำอีกครั้ง


แกะเปลือกหุ้มเม็ดออก ขาว ใส สะอาด น่ากิน พักไว้



5. นำน้ำตาลปี๊บ(น้ำตาลทรายจะแข็งกินไม่อร่อย ไม่ได้อารมณ์) 


 เคี่ยวให้พอหนืดๆ แล้วนำเม็ดหัวครกลงไปผัดจนสุก กรอบ หอม  

 


ตักแล้ววางบนใบ แก่ที่ตัดเตรียมไว้ แผ่ไว้ให้เย็น ไม่งั้นจะติดกัน (หยูมหยาม ) คือติดกันเป็นตังเม
ภาษาใต้แต่ละท้องถิ่น


  สีสันจะเปลื่ยนไปตามน้ำตาลที่เคี่ยว  เช่นเคี่ยวไหม้ไป จะเป็นสีน้ำตาลแก่ ถ้าพอดีจะเป็นสีน้ำตาลสวย


***************************


*********************

อันนี้แบบคั่วเกลือ หรืออบแบบสมัยใหม่ แพงนะจ๊ะ

 

 (เมื่อก่อนคั่วบนเตาไฟกับหม้อเก่าๆ ให้ไฟลุกท่วมหม้อ ติดยางของเม็ดหัวครกหมด ไฟก็หมด ดับไฟ 
เอาไม้เคาะๆ ให้เม็ดด้านนอกแตกออก กินแต่เม็ดใน อร่อย มือดำปี้) 

นำเม็ดหัวครกใส่ในภาชนะที่จะคั่ว เช่น หม้อ กะทะ ปี๊บผ่าครึ่ง ตั้งไฟ พอได้ที่ ไฟจะลุกท่วมเม็ด

อบกรอบทั้งเม็ดไม่ต้องผ่า เดี่๋ยวนี้มีแบบกระเทาะเม็ดด้วยเครื่องกระเทาะที่ทันสมัยแล้วอบ
ปัจจุบันเรานิยมทานเม็ดมะม่วงหิมพานต์แบบอบโรยเกลือ

 

ในสมัยโบราณ ปู่ย่า ตายาย หรือแม้แต่ พ่อแม่ คนปักษ์ใต้ในสมัยนี้ จะเรียกพวกเด็กๆ ที่ชอบเล่นซุกซนว่า “ไอ้หัวครก” ซึ่งมีความหมายคล้ายๆ ประมาณว่าเรียกเด็กๆที่ซุกซนและดื้อ ไม่อยู่นิ่ง ในเชิงปรามๆ ปนกับความเอ็นดู มากกว่าการด่าว่าให้ได้อับอาย แถมเป็นเรื่องสนุกโปกฮาเสียอีก

ด้วยเหตุผลกลใด ที่ต้องเรียกเด็กๆซุกซนว่า “หัวครก”
เพราะ “หัวครก” ก็คือ เมล็ดของมะม่วงหิมพานต์ 

 แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเด็กซุกซน หรือค่อนไปทางดื้อดึง
ด้วยเหตุที่ว่า มะม่วงหิมพานต์ เป็นผลไม้ที่มีความแปลก คือ มีเมล็ดอยู่นอกผล (เรียกว่า "โม้งหัวครก") เปลือกหุ้มแข็ง มียางเหนียว กว่าจะนำเนื้อในออกมากินได้ ต้องเอามาคั่ว มาเผาไฟ (หมกโม้งหัวครก) ต้องคอยคนๆพลิกๆ ไม่ให้ไหม้ดำจนเป็นถ่าน

จึงเปรียบเสมือน ลูก ที่ไม่ค่อยเชื่อฟังพ่อแม่ ผู้ใหญ่จึงต้องคอยตักเตือน สั่งสอน


นอกจาก "ไอ้หัวครก" ที่ใช้เรียกเด็กๆ เพื่อตักเตือน สั่งสอน ด้วยความเอ็นดูแล้ว ยังใช้เรียก เหน็บแนม หรือด่า กลุ่มคนที่ เกเร ไม่เอาไหน ถนัดในการพูดโกหก (ขี้หก) ขี้เหล้าเมายา ไร้สาระไปวันๆในหมู่บ้านว่า "พวกหัวครก" คือ กลุ่มคนที่ไม่เอาถ่าน หรือค่อนไปทางเกะกะเกเร ระรานสิทธิชาวบ้าน 
ด้วยเหตุที่ว่า ผล หรือ เต้า ของมะม่วงหิมพานต์ หรือ "หัวครก" เป็นผลไม้ที่ไม่มีความอร่อย รสชาติ 
ฝาดๆ ฝืนๆ เปรี้ยวๆ เมื่อสุกแล้วมีแต่น้ำฉ่ำๆ เนื้อเหนียวๆ เคี้ยวก็ไม่ค่อยออก ผลมะม่วงหิมพานต์ จะมีส่วนประกอบของ "แทนนิน" มาก จึงทำให้บูดเน่า เสียเร็ว ด้วยเหตุนี้ จึงไม่มีใครนิยมกินผล นอกจากเก็บมาสับๆๆๆ ให้หมูในเล้ากิน 

จึงเปรียบเสมือนกับ กลุ่มวัยรุ่นที่เกเร หรือคนแก่ๆที่ไร้สาระไปวันๆ ชอบพูดโกหก ปั้นน้ำเป็นตัวในวง(เหล้า)สนทนา ให้ดูว่ามีเหตุ มีผล ให้กลุ่มตนดูดี มีความรู้มาก
 แต่ทว่า...คนส่วนใหญ่ ไม่มีใครเชื่อถือ..


นอกจากจะฉาบน้ำตาลแล้ว ก็ใช้แกง พุงปลาได้ด้วย มันๆ อร่อยดี มีแค่ที่ปักษ์ใต้เท่านั้นแหละที่ทำกิน



ขอบคุณบางภาพจากอินเตอร์เน็ต เรียบเรียงโดยบ้านบิวเบสท์

0 ความคิดเห็น :

แสดงความคิดเห็น